วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

Confessions Review

Mini Movie Review


Confessions (2010) (Tetsuya Nakashima) (A-)

" Revenge is all you need,kill the bad guy if you is not hero "

ครูสาวต้องสูญเสียลูกสาวสุดที่รักของเธอไปโดยมีเด็กในห้องของเธอเป็นฆาตกร แต่ตำรวจกลับสรุปว่านี่เป็นแค่อุบัติเหตุ จึงเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องแก้แค้นด้วยสงครามประสาทที่เด็กสองคนนั้นจะจำไปจนตาย
หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบคุณจะมองการไว้ชีวิตตัวร้ายในหนังทั่วไปเป็นเรื่องตลกไปเลย เพราะเรื่องนี้แม่งแค้นจริง แผนล้ำจริง สะใจจริง การเล่าเรื่องหนังโฟกัสไปที่เด็กสองคนนั้น เพราะในเมื่อพล็อตเรื่องมาแบบนี้ถ้าเล่าผ่านคาแลคเตอร์อาจารย์ทั้งเรื่องคงมีเบื่อตายไปบ้าง หนังเล่าได้เนิบๆช้าๆ แต่มันกระตุ้นคนดูได้ดีเลย ประมาณว่าจะสั่งแต่ว่าแก้แค้นก็ไม่ได้ เราต้องรู้จักตัวละครหลักทุกตัวก่อน พอถึงจุดไคลแม็กซ์มันจะได้ถึงขีดสุดทั้งหนังและคนดู
ปกติก็แสวงหาหนังแก้แค้นแบบนี้มานานแล้ว มันไม่ได้จะแก้แค้นจู่ๆจะมาไล่ฆ่า เพราะการแก้แค้นของอาจารย์ท่านนี้แม่งคือการทรมาณชัดๆ เล่นคนด้วยจิตวิทยาคือสิ่งที่เฟี้ยวมากๆ จิตมาจิตกลับไม่โกง

Review By Waltherick

How Dawn of Justice Should Have Ended Without Fight Between Batman And Superman

Spoiler Alert
.
.
.
.

.
.
...
.
..
.
..

.
.








That's it,short and not funny

-Boooooooom-

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559

V/H/S 2 Review

Mini Movie Review


V/H/S 2 (2013) (B+)

" This is the real one,this is the best of V/H/S franchise like everyone said "


สองนักสืบรับจ้างได้รับงานให้ไปหาเด็กคนหนึ่งที่หายตัวไป พวกเขาได้ไปเจอกองม้วนเทปเหมือนในภาคที่แล้ว และแน่นอนพวกเขาต้องเปิดดูกองม้วนเทปอเวจีนั่นเพื่อทำงานให้เสร็จและตามหาว่าเด็กคนนั้นอยู่ไหน ภาคสองนี้มี 5 ตอนถ้ารวมเนื้อเรื่องหลักและก็ขอรีวิวทีละตอนเช่นเคย

Tape 49 (B)
พาร์ทนี้คือเนื้อเรื่องหลักที่ว่าไป เนื้อเรื่องของพาร์ทนี้สนุกกว่าภาคแรกมาก เพราะอันนี้มันลึกลับดำมืดกว่า กวนตีนด้วยคือมันมีอะไรน่าค้นหากว่าภาคที่แล้วเยอะมากนางเอกน่ารักด้วย

Phase I Clinical Trials (C+)
ชายคนหนึ่งพึ่งผ่าตัดดวงตาเพราะประสบอุบัติเหตุและมีกล้องอยู่ในดวงตาเพื่อบันทึกผลการรักษา แต่เมื่อเขาได้กลับบ้านไปใช้ชีวิตกับตาดวงใหม่ เขาก็กลายเป็นเจน ญาณทิพย์ทันทีเพราะตาดวงใหม่นั้นทำให้เขามองเห็นผีได้
มันก็ไม่มีอะไรใหม่หรอก มันเป็นพาร์ทที่มีความเป็นหนังผีแบบมาตรฐานมาก เรียบๆมีฉากให้ตกใจตามท้องเรื่อง ก็ไม่ได้แย่หรือพีคอะไร เป็นการเริ่มต้นที่น่าสนใจด

A Ride in the Park (C-)
นักปั่นจักรยานได้ช่วยเหลือผู้หญิงที่กำลังวิ่งหนีซอมบี้ ด้วยความเป็นพลเมืองดีเขาจึงถูกซอมบี้กัดไปด้วย และเขาก็ได้กลายเป็นพวกมันเดินออกหาเหยื่อ นี่คือ Zombie Simulator จะเรียกงี้ก็ได้เพราะเราจะได้ติดตามชีวิตซอมบี้นายหนึ่งตั้งแต่โดนกัดไปจนถึงช่วงสู้กับมนุษย์
น่า เบื่อ มาก มาก เลย ฉากแหวะทำออกมาดีแต่ไม่ว่ายังไงซะมันก็น่าเบื่อมากมากเลยอยู่ดี ตอนดูนี่รำคาญหลายๆฉากเลยอยากให้มันผ่านๆไปซักที

Safe Haven (A-)
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปถ่ายทำรายการในอาคารของลัทธิประหลาด และพวกเขาก็โดนคนในลัทธินั้นทำร้ายพร้อมปีศาจที่กำลังจะถือกำเนิด
ถ้าจะบ้าก็ต้องบ้าให้สุดนี่คือพาร์ทที่ดีที่สุดของหนังชุดนี้เท่าที่ดูมา บ้าคลั่งโคตรๆ ดูจบแทบปรบมือ เป็นหนังผีที่กดดันและน่ากลัวมากๆในเวลาเดียวกัน เราเดาอะไรแทบไม่ได้เลย สุดตีนมากๆ

Slumber Party Alien Abduction (B+)
แก๊งเด็กซนรวมหัวกันแกล้งพี่สาวในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่บ้าน แต่พอตกกลางคืนพวกเขาดันมีแขกไม่ได้รับเชิญจากนอกโลกมาพาพวกเขากลับไปด้วยซะงั้น
รูปร่างของเอเลี่ยนที่คุ้นเคย ตัวลีบๆสูงโย่ง หัวโตตัวซีดตากว้างๆ แทยที่เราจะกลัวมันเรากลับขำซะงั้นคงเป็นเพราะเอเลี่ยนรูปร่างแบบนี้มันเห็นจนชินตาไปแล้ว แต่หนังก็สนุกมากๆ พาร์ทนี้เหมือนจะไม่มีอะไรแต่สถานการณ์แม่งน่ากลัวมากๆกลับไอ้พวกเด็กเวรที่อยู่บ้านโดยไม่มีผู้ใหญ่แล้วเอเลี่ยนดันมาบุก สถานการณ์มันเกิดขึ้นเร็วดี เหมือนเอเลี่ยนรีบไปรีบกลับไม่มีลีลาหรือเล่นตัวอะไรเลย แต่ใครรักสัตว์น่าจะผวาตอนจบไปนานเลย ก่อนดูกูยิ่งดูคลิปหมามาก่อนด้วยนะ

V/H/S Review

Mini Movie Review 


V/H/S (2012) (C+)

" Nearly a shit but it's still observable "

โดยภาพรวมเราว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อนะ ไม่ได้มึนงงกับมุมกล้องมันเลยเพราะเราอาจจะชินแล้ว เนื้อเรื่องก็ไม่ค่อยมีอะไรพีคๆอย่างที่คิดไว้ เลยขอให้เกรดแต่ละพาร์ทด้วยดีกว่า

Tape 56 (B-)
พาร์ทหลักของเรื่อง เกี่ยวกับแก๊งวัยรุ่นได้รับมอบหมายให้ไปหาม้วนวิดิโอในบ้านร้างหลังหนึ่งโดยมีค่าจ้างรอพวกเขาอยู่ แต่สิ่งที่พวกเขาพบก็คือศพของชายแก่คนหนึ่ง และพวกเขาต้องเเยกกันออกค้นหาม้วนวิดิโอที่ว่านั่น และใครก็ตามที่เปิดดูม้วนวิดิโอม้วนอื่นพวกเขาจะ.....ทำให้คนดูได้ดูหนังสั้นในพาร์ทอื่นๆ
พาร์ทนี้มันก็น่าติดตามดีนะด้วยความที่มันเป็นเนื้อเรื่องหลัก แต่ว่ามันยังดูซ้ำซากไปหน่อยในเรื่องความน่ากลัวความเป้นหนังผีของมันยังค่อนๆไปทางน่าเบื่อซะมากกว่า

Amateur Night (C-)
วัยรุ่นสามคนได้ไปเที่ยวที่บาร์แล้วควงสาวกลับห้องมาซั่ม 2 คนคนหนึ่งปกติแต่หญิงสาวอีกคนหนึ่งเธอดันไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาซะงั้น
กว่าจะเข้าความเป็นหนังผีเอ็งก็เกริ่นซะยาวเชียว น่าเบื่อขั้นสุดจริงๆ พอมันเริ่มปล่อยของก็เจ๊งดีหรอกแต่มันก็เป็นอะไรที่สั้นซะเหลือเกิน แทนที่จะเอาเวลาไปโฟกัสฉากปาร์ตี้เอ็งเอาเวลาไปทำส่วนเฮอเร่อให้มันมีน้ำมีนวลมากกว่านี้หน่อยก็ได้

Second Honeymoon (B)
คู่รักคู่หนึ่งกับ Road Trip ที่กำลังจะจบลง แต่หารู้หรือไม่ว่านี่จะเป็นทริปสุดท้าย
เห้ยชอบนะ มันดูไม่เข้าพวกสุดละ มันน่าติดตามมากๆ ถึงบทพูดมันจะเยอะกว่าเพื่อนแต่มันน่าคิดตามทุกฉากเลย

Tuesday The 17th (C)
วัยรุ่นสี่คนไปปิคนิคที่ทะเลสาบแห่งหนึ่งที่เคยมีเหตุการณ์สยองขวัญเกิดขึ้นมาก่อนและฆาตกรก็สามารถมองเห็นด้วยการใช้กล้องวิดีโอถ่ายตัวมันเท่านั้น
ชอบไอเดียนะ แต่ธรรมดาไปหน่อยคือเกือบดีแล้ว แต่มันธรรมดามากๆ

The Sick Thing That Happened To Emily When She Was Younger (B-)
คู่หนุ่มสาวคบกันบนเว็บมานาน จนวันหนึ่งฝ่ายสาวมาบอกฝ่ายชายว่าห้องเธออยู่มีผีเด็ก และพวกเขาจึงออกตามล่ากัน
แปลกนะที่เรามาดูหนังผีแต่เรากลับชอบอะไรที่มันเหนือธรรมชาติมากมายแบบนี้มากกว่าผีอีพิคๆ ถึงพล็อตมันจะง่ายแต่มันทำออกมาดี พาร์ทนี้น่ากลัวมากๆแต่ไม่ถึงที่สุดเพราะบางชั่วบทสนทนามันก็น่าเบื่อเหลือเกิน

10/31/98 (B+)
เพื่อนซี้สี่คนออกไปปาร์ตี้ฮาโลวีนที่บ้านหลังหนึ่งที่บอกว่าจะมีปาร์ตี้บ้านผีสิง โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าที่ๆพวกเขากำลังไปมันมีผีสิงจริงๆ
พล็อตง่ายๆแต่มันเล่นท่ายาก การดำเนินเรื่องมันไม่อืดอ่ะ สงสัยเพราะมันเป็นตอนสุดท้ายเลยต้องพีคสุด และพาร์ทนี้ถือกล้องไม่มึนหัวด้วย(ก็มันอยู่บนหัว) เป็นพาร์ทที่น่ากลัวที่สุดแล้วในซีนสำรวจบ้าน และตอนจบที่ลืมไม่ลง

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

10 Cloverfield Lane Review

Mini Movie Review


10 Cloverfield Lane (2016) (Dan Trachtenberg) (B+)

" Fuck the alien,Fuck sci-fi,Fuck Cloverfield this is 10 Cloverfield Lane "

" ถ้าคุณชอบมันคุณจะลงแดง แต่ถ้าคุณไม่ชอบคุณคงเกลียดไปเลย "

อยากตบหน้าตัวเองแรงๆซักสิบที ที่แอบหวังไว้นิดๆว่าหนังมันต้องแมสครึ่งดาร์คครึ่ง ความจริงแล้วหนังไม่ได้แมสเมิสอะไรเลย

นี่ไม่ใช่ภาคต่อของ Cloverfield แต่อยู่ในโลกเดียวกันและเป็นเหตุการณ์ต่อจาก Cloverfield คือมันใช้แค่สถานการณ์เดียวกัน มันหยิบยกมาแค่นี้ ใครจะไปดูก็รู้กันแค่นี้แหละแล้วจะดูหนังสนุกขึ้นล้านเท่า

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เน้นตัวเองตอนดูหน่อยก็ได้ว่า "เอเลี่ยนเป็นแค่ฉากหลัง เอเลี่ยนเป็นแค่ฉากหลัง " เพราะหนังมันลงลึกไปที่จิตใจของมนุษย์และสถานการณ์คับขันพร้อมคนแปลกหน้ามากกว่า แถมมันยังทำออกมาได้ดีด้วยซิ ดูแล้วกดดันมากๆ ไม่เคยกดดันมากขนาดนี้ตั้งแต่ Argo (2012) เราไม่รู้ว่าระเบิดเวลาที่ตั้งไว้มันจะระเบิดตอนไหน ความฉลาดของหนังก็คือเวลามีบทสนทนาเคร่งเครียดๆหนังจะดับซาวด์แทร็ค จะมีแต่ความเงียบเท่านั้น และทุกครั้งที่ตัวละครพูดจะเป็นอะไรที่กดดันมากๆ และถ้าคุณดูตัวอย่างแล้วคุณคิดว่าคุณสามารถเรียบเรียงเหตุการณ์ในหนังได้ บอกเลยว่าคิดผิด

เราว่านี่ไม่ใช่หนังหักมุมอะไร มันสร้างสถานการณ์กดดันได้ดีจนทำให้เราจดจ่อกับสิ่งที่กำลังดูมากกว่าจะคิดอะไรล่วงหน้า แต่ถ้าได้ไปนั่งดูแล้วจะรู้เลยว่าหนังไม่ได้เดายากอะไรเลย แต่เราก็อยากหาคนมานั่งวิเคราะห์นู่นนี่นั่นนะ มันมีหลายเรื่องที่ค้างคาและอยากระบายมากๆ

และสุดท้าย เหมือนกับที่หนังภัยพิบัติคุณภาพหลายเรื่องเคยสอน

" ต่อให้ภัยพิบัติร้ายแรงแค่ไหน สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือมนุษย์ "

Review By Waltherick


วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

My Favorite Artists/Brands



I never post about music before .So this is a begining


.
.
.
.
.
.
.
.
Twenty-one Pilots

Imagine Dragons

The Beatles

I like the others too but these is my lovely brands of all time//end

oh oh i forgot,I love Lukas Graham too.


Once I was 7 years old...

God damn I have forgot again I love "Of monster and men" too.I think this should end now bra bra bra


Batman vs Robin Review

Mini Movie Review


Batman Vs Robin (2015) (Jay Oliva) (B)

" I can't say it better than BatvSup but it good just good  "

เนื้อเรื่องมันลึกดีนะกับความสัมพันธ์พ่อลูก แต่มันยังไม่มีอะไรน่าจดจำเท่าที่ควร สำหรับเราดูจบแล้วจบเลย นี่คือการ์ตูนแบทแมนคุณภาพอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนตัวเราก็ไม่ได้ชอบไอ้เดเมี่ยนอยู่แล้ว พอเรื่องนี้มันกลายเป็นเด็กเปรตเราเลยไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ แต่ดูจบเรากลับรักไอ้เดเมี่ยนขึ้นมานิดนึงเพราะเราว่าถ้ามันดีมันก็เท่นะ พอมันทำผิดนิดผิดหน่อยมันก็จะกลายเป็นเด็กเปรตเช่นกัน คาแลคเตอร์ของเรื่องนี้ดูสับสนๆนะ โดยเฉพาะบารอนที่เหมือนคนเขียนบทจะหาจุดจบแบบเป็นการเป็นงานไม่ได้ผลลัพท์มันเลยเละเทะไปหน่อย

Review By Waltherick


วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

Barcelona Christmas Night Review

Mini Movie Review


Bacelona Christmas Night (2015) (Dani De la Orden)(A)

"Romantic romantic and romantic...I love this"


6 เรื่องราวของความรักในคืนวันคริสมาส ประกอบไปด้วย 

1.เพื่อนหนุ่มสองคนที่ถูกสาวสวยชวนซั่มสาม
2.สามีภรรยาที่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนผิดใจกัน
3.หนุ่มพึ่งอกหักหนีรักมาบาร์เซฯเพื่อหวังฟัดสาวแก้ขัดแต่ครั้งนี้เหมือนพี่แกจะได้เจอรักแท้
4.หนุ่มใหญ่โดดหน้าที่การงานจากขบวนพาเรดเพื่อตามหาแฟนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมา 20 ปีโดยได้รับความช่วยเหลือจากนักข่าวสาวที่อยากได้รูปเขาไปส่งบก.
5.สองยายเลสเบี้ยนพี่ตั้งใจจะบอกเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเธอให้ลูกหลานฟังในคืนวันคริสมาส
6.ชายแก่คนหนึ่งพึ่งรู้ว่าตัวเองมีลูกกับสาวที่เคยคบกันเมื่อหลายปีก่อน

อบอุ่นโรแมนติคหวานหยดย้อนน้ำตาลร้อยก้อนมากๆ มันเป็นโรแมนติคที่สอนการดำเนินชีวิตได้ดีทีเดียว โทนหนังจะสลับไปมาระหว่างดราม่า-คอมเมดี้-โรแมนติคตลอดทั้งเรื่องซึ่งมันก็ครบรสดีตามหนังแนวนี้ พาร์ทที่เฉยและไม่ได้อะไรเลยก็คือพาร์ทของสองหนุ่มซั่มสามนี่แหละ ไม่ค่อยเข้าใจมันเท่าไหร่ ส่วนพาร์ทอื่นก็จะสอนแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่ก็จะได้ความประมาณว่า " ความรักก็เหมือนเพลงพี่เบิร์ดน่ะแหละ...มันซ่อมได้ " บทพูดในตัวอย่างเหมือนจะมีการไม่เชื่อในความด้วย แต่พอดูเข้าจริงๆมันก็เป็นแค่คำพูดของคนที่ลืมคนรักไม่ได้ เพราะยิ่งลืมก็ยิ่งฝังลึก และดูจบก็ได้รู้ว่าคนคริสเขาให้ความสำคัญกับวันคริสมาสมากเลย อันที่จริงก็รู้มาบ้างแต่พอได้ดูหนังหลายๆเรื่องก็ถึงรู้ว่ามันเป็นวันครอบครัวมากๆ จนมีหนังเกี่ยวกับวันคริสมาสมาให้ดูวันเทศกาลทุกปี เหมือนประเทศไทยที่จะมีหนังช่วงสงกรานน่ะแหละ หนังเรื่องนี้โรแมนติคมากๆจนแอบคิดว่าไม่เหมาะกับการดูคนเดียวเลย แต่ไม่ใช่ให้มาดูเป็นคู่เพราะจะให้หวังซั่มหวังจีบหรือทำให้รักกันมากกว่าเดิมนะ แต่ที่อยากให้ดูเป็นคู่เพราะดูจบจะได้มีคนให้มองหน้าแล้วตั้งคำถามเกี่ยวกับอนาคต

Review By Waltherick

Diablo Review

Mini Movie Review


Diablo (2015) (Lawrence Roeck) (F)

"This is a real shit worst cowboy movies ever"

วอทเดอะฟัคอิสดิสชิททททททท พังมากๆ พังทุกอย่างทั้งการแสดง บท เนื้อเรื่อง แม่งยังดิ้นรนมีการหักมุมตอนท้านด้วย พังๆๆๆๆๆ งานภาพทำให้มันดูดีขึ้นมาเยอะเลยลดความเกรดบีไปมากเลย

Review By Waltherick

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

Standoff Review

Mini Movie Review


Standoff (Adam Alleca) (2016) (C+)

" Wannabe Psychology but it still be thriller "

เด็กสาวเผอิญไปเจอเหตุฆาตกรรมในสุสานแห่งหนึ่ง และเธอถ่ายรูปของคนร้ายมาได้จนถูกตามล่าโดยนักฆ่า เธอถูกนักฆ่าไล่ตามมาจนไปเจอบ้านของชายคนหนึ่งที่พึ่งสูญเสียลูกชาย และเขาสัญญาว่าจะปกป้องเธอจากคนฆ่าให้ได้ โดยที่ทั้งคู่ติดอยู่บนชั้นสองของบ้าน และนักฆ่าที่อยู่ชั้นล่างก็เริ่มทำสงครามจิตวิทยากับชายคนนั้น

พล็อตน่าสนใจใช่มั้ยยยยยย มันมีแค่นั้นแหละ ความกดดันของหนังแทบไม่มีเลย แต่สิ่งที่ทำให้ทนดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบคือการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างลื่นไหล เพราะหนังมันเหมือนไม่ค่อยมีลูกเล่นแต่ก็พยายามเล่าจนเราคิดว่าดีแต่จริงๆแล้วมันไม่มีอะไรเลย สถานการณ์ต่างๆก็เดาง่ายแต่ก็ขยันใส่มา ทำให้มันห่างจากคำว่าแย่ไปนิดนึง เพราะพล็อตอย่างนี้น่าจะเอาไปทำหนังสั้นมากกว่า พอมันเป็นหนังยาวมันเลยรู้สึกว่ามันยืดๆ (หนังยาวก็สั้นนะ 80 กว่านาทีเอง)


Review By Waltherick

Dawn of Justice Review

Mini Movie Review


Batman v Superman:Dawn of Justice (Zack Snyder)(2016) (C+/B-)

" This is not Zack Snyder who directed Man of Steel but he is Zack Snyder? "

ขอออกตัวก่อนว่าชอบ Man of Steel มากๆ ถ้าพูดถึงตัวผู้กำกับอย่าง Zack Snyder เราเคยดูผลงานของพี่แกไม่กี่เรื่อง เราชอบ Watchmen แต่ก็เกลียด 300 เราว่าแกคงเป็นอีกหนึ่งผู้กำกับโคตรป๊อปแน่นอนหลังจากผ่านเรื่องนี้ไปเพราะเท่าที่เห็นคนดูสวดแกยับเลย ทั้งๆที่แต่ก่อนมีคนพูดถึงแกแบบไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่(หรอก)

ความดิบของสไนเดอร์ใช้งานไม่ได้กับหนังฮีโร่เรื่องนี้ เพราะหนังพยายามทำให้หดหู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายผลลัพท์มันก็แค่ "โลกนี้มันโหดร้ายเนอะ....แต่ไม่เป็นไรเรามีฮีโร่" มีหนังเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นสำหรับเราที่สามารถนำมาเปรียบกับเรื่องนี้ได้ นั่นก็คือ Man of Steel ของเฮียแกเองนี่แหละ

จะพูดว่านี่คือ Man of Steel 2 ก็ไม่ได้ ยอมรับว่าหนังเจาะลึกตัวละครได้มีมิติทีเดียวโดยเฉพาะแบทแมน แต่ด้วยความอ่อนของบท สิ่งเหล่านี้เลยถูกทดแทนด้วยข้อเสียซะมากกว่า

บทอ่อน คือคำที่สุภาพที่สุดแล้ว ระหว่างดูแทบกุมขมับกับบทหนัง มันคือความล้มเหลวขั้นสุด ในขณะที่หนังเรื่องก่อนหน้าอย่าง Man of Steel ก็มีบทอะไรประมาณนี้แต่มันดูดีกว่ามาก ถึงจะยาวพอๆกันแต่ MOS เอาอยู่ได้ตลอดทั้งเรื่อง ต่างจากเรื่องนี้ที่แย่ยังไงก็แย่อยู่ยังงั้น "แย่แบบดิบๆไม่มีการปรุงแต่งใดๆทั้งนั้น" อาจ(x100)เป็นเพราะหนังถูกตัดด้วยละมั้ง(หวังให้เป็นอย่างนั้น) บทหนังเล่นง่ายมากในหลายฉากจะเรียกว่ามักง่ายก็ได้ ซึ่งส่วนนี้ถ้าพูดถึงจะเป็นการสปอยแน่นอน แต่มันมักง่ายจริงๆจนบางครั้งแทบอย่างตะโกนในโรงว่า "แค่เนี้ย? ง่ายเนอะ"

ฉากแบทแมนกับซุปสู้กันคือตลกมาก สำหรับเราเราแทบสัมผัสความดิบของสไนเดอร์ไม่ได้เลยในฉากแอดชั่นเหมือนกับมันดิบไม่พอ มันยังดูซอร์ฟเกินไปจนดูตลกไปเลยรวมกับบทเอ๋อๆด้วย(เป็นเพราะถูกตัดอีกละมั้ง) เล็กซ์ ลูเธอร์ จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในชีวิต
ส่วนตัวไม่ได้อยากบอกว่าควรไปดูมั้ยหรอกมันต้องไปดูด้วยตาตัวเองจริงๆ เพราะถ้าจะให้เล่าความในใจทั้งหมด มันคงต้องมีการสปอยเกิดขึ้นแน่นอน

เหมือนอย่างที่พี่นักวิจารณ์คนนึงเคยบอกว่า ถ้าคุณรัก Man of Steel คุณจะเกลียดมัน และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

เฉยๆ = ผิดหวัง

ดิงๆๆๆๆๆๆๆๆ

Review By Waltherick